จากปัญหาวิกฤตไวรัสพันธุ์ใหม่ (covid19) ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลกกำลังระบาดอยู่ขณะนี้  มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานแบบใหม่  จากที่ทุกองค์กรมองว่า สิ่งที่ได้เคยพูดกันไว้ ผู้บริหารมีแนวคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะมาทบทวนกัน ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติอยู่ที่บ้านบางตำแหน่งงาน  การใช้เทคโนโลยีด้าน IT เข้ามาใช้ในระบบงานมากขึ้น

สาเหตุหลักของการติดต่อทางร่างกายอย่างรวดเร็ว คือ ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปในยุคโลกาภิวัต สังคมเมืองมาพร้อมกับพลวัตที่เลื่อนไหลอย่างรวดเร็ว ผู้คนใช้เงินซื้อความสะดวกสบายและความสุข นิยมกิน ดื่ม เที่ยว ใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านมากขึ้น อยู่คนเดียวน้อยลง และที่สำคัญ วิถีชีวิตที่ไม่อยู่นิ่งทำให้มีการเคลื่อนย้ายของประชากรมากขึ้น การเดินทางข้ามจังหวัดข้ามประเทศเป็นเรื่องง่ายและราคาย่อมเยากว่า 10-20 ปีที่แล้วมาก คนจำนวนมากทำงานต่างบ้านต่างเมือง คนจำนวนไม่น้อยเพลิดเพลินกับการไปสถานที่ต่างวัฒนธรรม ทำให้ไวรัสแพร่กระจายได้อย่างไร้พรมแดน โดยเฉพาะบางประเทศที่มีอารยะธรรมค่อนข้างเสรีภาพเป็นของตัวเอง ไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบวินัย ซึ่งเข้าข่ายของการติดเชื้อตัวนี้ได้ง่าย จึงเห็นได้ว่าบางประเทศติดเชื้อต่อวันเป็นจำนวนมาก จนไม่สามารถควบคุมเชื้อโรคได้ เพราะขาดทั้งอัตรากำลังทางการแพทย์และอุปกรณ์ป้องกันเชื้อ นั่นคือวิถีชีวิตของประชากรบางประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการติดเชื้อ

ช่วงเวลาแบบนี้ เราควรขอบคุณโควิด-19 ด้วยซ้ำที่มาเตือนสติให้เราดำเนินชีวิตบนความไม่ประมาท และเป็นสิ่งเตือนใจอยู่เสมอว่าเราโชคดีแค่ไหนที่มียังลมหายใจ มีเวลาขัดเกลาจิตใจให้มองเห็นความเปลี่ยนแปลง และยอมรับกฎธรรมชาติที่เกิดขึ้นให้ได้  ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอย่าไปโทษเชื้อโควิด19 เลย  แต่ควรจะโทษฝีมือมนุษย์ที่ทำให้เชื้อตัวนี้เกิดขึ้นมากกว่า

แม้เมื่อวันหนึ่งที่การระบาดเริ่มเบาบางลงแล้ว ก็อย่าลืมว่า ไม่มีอะไรรับประกันว่าเราจะมีชีวิตอยู่ถึงเมื่อไร การหมั่นพิจารณาความตายที่อาจจะมาถึงวันนี้ พรุ่งนี้จะช่วยกระตุ้นให้เราใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างคุ้มค่า สะสมความดี สร้างความสุขให้ตัวเองและคนที่เรารัก และสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อสังคมและหมู่มวลมนุษย์ด้วยกันเอง สิ่งที่เคยเป็นความขัดแย้งในใจซึ่งกันและกัน ก็ควรจะใช้เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมใหม่ให้น่าอยู่ ลดฐิถิของตนเอง หันมาสร้างสิ่งใหม่ คิดหาทางอย่างไรเพื่อที่จะช่วยเหลือสังคม ประเทศชาติของเรารอดพ้นภัยจากเชื้อโควิดตัวนี้อย่างโดยเร็ว ถ้าเราทำได้ แก้ปัญหาได้ บรรดาประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะยกย่องสรรเสริญ ซึ่งจะเป็นจุดขายประเทศของเราให้ถูกยอมรับจากนานาประเทศไ

     ดังนั้นในเวลาเช่นนี้ คนที่อยู่รอดได้ ไม่ใช่คนที่แข็งแรงที่สุด หรือฉลาดที่สุด แต่เป็นคนที่ปรับตัวได้ดีที่สุด ดังนั้นในแง่ของธุรกิจอะไรก็ตามที่สามารถทำได้ ก็อาจจะต้องขยายไปทำตรงนั้นก่อน   สิ่งที่จะมาช่วยงานขององค์กรของเราคงไม่พ้นเรื่องของคนอย่างแน่นอน ซึ่งคนภายในองค์กรจะต้องมาทำความเข้าใจกับเครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แอพพลิเคชั่นประเภทการประชุมผ่านจอ เช่น Zoom, Slack, Google Meets, Microsoft Teams มียอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า หลายแอพพลิเคชันเปิดให้ใช้ฟรี เพราะมั่นใจว่าลูกค้าจะติดใจและซื้อบริการอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เมื่อมีเทคโนโลยีที่ดีรองรับ จากสิ่งที่ผู้เขียนได้พูดมาทั้งหมดมานั้น  เมื่อเกิดวิกฤตสิ่งที่จะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมจากวิกฤติที่เกิดขึ้น  เพื่อที่จะปรับตัวให้องค์กรอยู่รอดและมีศักยภาพเหนือคู่แข่งได้อย่างไร ในช่วงวิกฤติที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะในช่วงประเทศชาติต้องจำกัดให้ประชาชนต้องถูกกักตัวอยู่ที่บ้าน การทำงานที่ต้องอาศัยพนักงานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ นอกจากจะต้องในเรื่องงานของตนเองแล้ว  ยังต้องมีความเข้าใจเครื่องมือ แอพพลิเคชั่นต่างๆ  ที่จะมาอำนวยความสะดวกให้กับงานที่ปฏิบัติอยู่ให้ดำเนินต่อได้  ถึงแม้ว่าจะอยู่ที่บ้านก็ตาม

คงถึงเวลาที่หน่วยงาน HR จะต้องมาทบทวนระบบงานภายในองค์กรกันอีกครั้งว่า ในอนาคตการจ้างงานบางตำแหน่งงาน จำเป็นไหมที่จะต้องมาปฏิบัติงานที่บริษัทเสมอไป ฉะนั้นการพิจารณาในเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ลูกจ้างให้ความสนใจ เพราะบางตำแหน่งไม่จำเป็นต้องไปปฏิบัติงานที่บริษัท เพียงแต่กำหนดให้ส่งงานตามวันที่บริษัทต้องการ  ก็สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของตำแหน่งงานนั้นแล้ว  การกำหนดค่าจ้างเงินเดือน และสวัสดิการ  อาจจะพิจารณาอีกว่า สำหรับตำแหน่งงานที่พนักงานปฏิบัติงานที่บริษัท อัตราค่าจ้าง อาจจะเป็นอีก rate หนึ่ง สวัสดิการบางอย่างไม่จำเป็นต้องมีเช่น เครื่องแบบ  รถรับส่ง  ค่าน้ำมัน  ค่าอาหาร เบี้ยเลี้ยง เป็นต้น  ซึ่งการกำหนดลักษณะเช่นนี้ อย่าไปคิดแทนพนักงานว่า จะเกิดความไม่เท่าเทียมกันภายในองค์กร  ในเมื่อไปสอบถามพนักงานที่เขาสนใจ สมัครใจ อยากปฏิบัติงานอยู่กับบ้าน มีความยินดีเป็นอย่างมาก  ที่บริษัทได้มีออฟชั่นลักษณะนี้ออกมาเพื่อให้เป็นทางเลือก  เพราะว่าคนรุ่นใหม่ มีมุมมองว่า เสียเวลามาก ที่ต้องเดินทางไปฏิบัติงาน อยู่ในกรอบระเบียบปฏิบัติของบริษัท ต้องตื่นเช้ามาทำงาน สิ่งเหล่านี้จะเป็นคำตอบให้กับคนรุ่นใหม่มีทางเลือกให้เขาได้ตัดสินใจมาอยู่กับองค์กรเราได้มากขึ้น  ในมุมมององค์กรได้อะไรจากการปรับเปลี่ยนในส่วนนี้  อย่างแรกเลยก็คือ การได้พนักงานที่หายากบางตำแหน่งมาร่วมงานมากขึ้น  จ่ายสวัสดิการน้อยลง และค่าจ้างไม่ต้องแข่งขันกับบริษัทใหญ่ๆ  ที่มีการจ้างงานค่อนข้างสูง

อย่าลืมว่ามีพนักงานส่วนหนึ่งที่อยากทำงานเป็นแบบฟรีแลนซ์  ไม่อยากทำงานเหมือนเป็นพนักงานประจำ ซึ่งจะต้องมาเข้าทำงานที่เป็นเวลา ถูกบังคับให้ต้องตื่นใส่เครื่องแบบพนักงานเข้ามาที่บริษัท

ถึงเวลาแล้วที่ผู้บริหารองค์กร ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการคิดโดยมีการจ้างงานแบบหลากหลาย ระบบค่าจ้างไม่ตายตัว สวัสดิการแบบยืดหยุ่น และการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในองค์กรมากขึ้น เช่น ระบบการลาผ่านทางออนไลน์  การติดต่อเอกสารด้านบุคลากรผ่านออนไลน์เกือบทั้งหมดก็จะยิ่งทำให้พนักงานรุ่นใหม่ มีทางเลือกในการตัดสินใจเข้ามาร่วมงานกับองค์กรได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

 

ดร.กฤติน  กุลเพ็ง

บริษัท ไอโอดี คอนเซาท์ติ้ง แอนด์ เทรนนิ่ง จำกัด


  บทความ     
  729 views     Comments