บทบาทของหน่วยงาน HR ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ จากเมื่อยุคก่อน หน่วยงาน HR จะทำตัวเหมือนกับตำรวจค่อนตรวจตราว่าพนักงานมีการกระทำความผิด กฎเกณฑ์ของบริษัทหรือไม่ ซึ่งเมื่อยุคสมัยก่อน นายจ้างมาฝากความหวังไว้ที่หน่วยงาน HR เพื่อช่วยตรวจสอบความผิดปกติของพนักงาน ก็อาจจะเป็นช่วงในเวลาดังกล่าว งานที่ทำค่อนข้างหายาก ลูกจ้างอยากได้งานทำที่มีเงินเดือน จึงค่อนข้างเป็นส่วนหนึ่งที่นายจ้างมีข้อต่อรองที่สูงกว่า จึงสามารถใช้วิธีดังกล่าวได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมเฟื่องฟู มีบริษัทเกิดขึ้นมากมาย จากสังคมที่มีนายจ้างเป็นผู้มีอำนาจสูงกว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมจากเดิม โดยที่ข้อต่อรองตกไปที่ ลูกจ้าง เพราะมีบริษัทเกิดขึ้น ได้มีตัวเลือกที่หลากหลาย มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนงาน ซื้อตัวกันเกิดขึ้น โดยเฉพาะลูกจ้างที่มีศัยกภาพ จึงทำให้นายจ้างโดยเฉพาะเจ้าของบริษัท เริ่มมีการปรับบทบาทตัวเองมากขึ้น โดยคิดค้นว่าวิธีไหนที่จะรักษาพนักงานของตนเอง ให้ได้อยู่ภายในองค์กรได้นาน ๆ ซึ่งบางแห่งใช้วิธีการ ถ้าพนักงานคนใดอยู่องค์กรนานๆ เกิน 20 ปี บริษัทจะจัดพิธีมอบเหรียญทองคำหนัก 2 บาท ให้กับพนักงาน เพื่อเป็นการจูงใจพนักงานที่จะตัดสินใจลาออกไปอยู่ที่อื่น ได้เริ่มพิจารณาว่าจะปรับเปลี่ยนงานหรือไม่ แต่ก็อยากลืมว่าการปรับสวัสดิการเช่นนี้ แต่ละองค์กรก็มีการเอาอย่างกัน เมื่อองค์กรข้างเคียงมีสวัสดิการลักษณะนี้ได้ ก็เสนอผู้บริหารให้มีบ้าง ก็ทำให้แทบทุกองค์กรมีสวัสดิการที่คล้ายๆ กัน เป็นประโยชน์ต่อลูกจ้างที่ปฏิบัติงานภายในองค์กร
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่องค์กรได้ปรับเปลี่ยนสวัสดิการที่เพิ่มขึ้น ก็ไม่ได้ทำให้พนักงานหรือลูกจ้างได้เปลี่ยนใจอยู่องค์กรสักเท่าใดนัก จึงหาวิธีใหม่ที่จะทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกที่ดี อยู่กับองค์กรแห่งนี้แล้วมีความสุขและได้ความรู้ด้วย จึงให้หน่วยงาน HR มีการปรับเปลี่ยนตัวเอง เป็นครู/อาจารย์ ช่วยสอนสั่งพนักงาน ถ้าไม่มีความรู้ ก็หาผู้รู้มาช่วยสอน ทำความเข้าใจให้กับพนักงาน
จะเห็นได้ว่า บทบาทของหน่วยงาน HR เปลี่ยนมาเป็นผู้คอยให้คำแนะนำพนักงานเพิ่มมากขึ้น โดยเปลี่ยนจากบทบาทตัวเอง จากนายอำนาจ มาเป็น นายอำนวย เพื่อคอยอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานภายในองค์กร ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็สามารถขึ้นมาปรึกษากับหน่วยงาน HR เพื่อจะได้คอยให้คำแนะนำช่วยเหลือ แก้ปัญหาให้กับพนักงานได้ ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานได้มีที่พึ่ง และตัดสินใจที่อยู่ภายในองค์กร เพราะพนักงานคิดว่า องค์กรแห่งนี้ เป็นบ้านหลังที่สอง ที่จะฝากชีวิตเอาไว้ เพราะดูแลความเป็นอยู่เปรียบเสมือน พี่น้อง มากกว่า นายจ้างและลูกจ้าง แนวความคิดลักษณะเช่นนี้ จึงได้นำมาปลูกฝังให้ระดับผู้บริหารองค์กรที่เป็น หัวหน้า/ผู้จัดการด้วย ให้มีการดูแลพนักงาน ให้คำปรึกษา ให้การสอนงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการมุ่งเน้นไปทางด้านจิตใจเสียมากกว่า การให้ตอบแทนเรื่องเงินและสวัสดิการ ซึ่งในเชิงทฤษฎีแล้ว การให้สิ่งที่ไม่ใช่ตัวเงินแก่พนักงาน จะได้ผลดีกว่า ให้ในสิ่งที่เป็นตัวเงิน คือการให้ความรัก จะยั่งยืนกว่า การให้เป็นตัวเงินนั่นเอง