สำหรับการเตรียมความพร้อมขององค์กร นอกจากการบริหารองค์กรแล้ว สิ่งที่ผู้บริหารควรคำนึงถึง ก็คือ ความทันสมัย ความเป็นมืออาชีพ และ ความโปร่งใสขององค์กร ซึ่งผู้เขียนมองว่า การปรับตัวเพื่อเข้าสู่องค์กรแนวใหม่ เริ่มมีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะว่ากระแสของโลกจาก Social ค่อนข้างแรง วิวัฒนาการจากเยาวชนที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีอิสระทางแนวความคิดมากขึ้น สามารถเป็นต้นเสียงในกลุ่มของประชากรที่เห็นด้วยมากขึ้น ถึงเวลาแล้วที่องค์กรจำเป็นจะต้องปรับตัว เพื่อเตรียมความพร้อมด้านการบริหาร การปรับโครงสร้างองค์กรนอกจากที่จะเป็นแบบ ลำดับชั้นเหมือนสมัยก่อน ย่อมมีความเสี่ยงที่องค์กร จะหาคนเข้ามาร่วมงาน ค่อนข้างลำบากมากขึ้น เพราะว่า คนรุ่นใหม่ ต้องการความสำเร็จเร็ว มีความมั่นใจสูง ถ้าองค์กรใดก็ตามที่ยังไม่มีความชัดเจน ด้านโครงสร้าง ก็จะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงานกับองค์กรน้อยลง
สิ่งที่องค์กร ควรจะต้องเริ่มใส่ใจด้านการบริหารองค์กรมากขึ้น เพราะว่าแนวคิดระหว่างพนักงานที่เป็นคนรุ่นเก่าที่เป็นผู้บุกเบิกบริษัท กับพนักงานที่เพิ่งเริ่มเข้ามาสู่องค์กร ยังมีแนวคิดที่แตกต่างกัน การทำงานร่วมกันภายในองค์กร ย่อมกระทบกระเทือน การประสานงานระหว่างทีมข้ามสายงาน มีปัญหา ส่งผลต่อการบริการลูกค้าของบริษัทไปด้วย
อันดับแรกที่ผู้บริหารองค์กร ควรต้องมีการสำรวจหน่วยงานของตัวเองเสียก่อนว่ามีปัญหาเรื่องนี้อยู่หรือไม่ ถ้าเริ่มมีปัญหา สิ่งที่ผู้บริหารควรให้ความสำคัญคือ การนำปัญหาที่เกิดขึ้น มาหาข้อสรุป เพื่อหาแนวทางสายกลางที่ พนักงานทั้งสองกลุ่มยอมรับกันได้เสียก่อน
เมื่อผู้บริหารองค์กรได้ดำเนินการปัญหาภายในเสร็จเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ผู้บริหารจำเป็นจะต้องเปิดมุมมอง เรื่อง การหาผู้ร่วมงานเข้าสู่องค์กร ซึ่งจากการเก็บข้อมูลเชิงสถิติที่พนักงานส่วนใหญ่เลือกองค์กรในลักษณะใด เมื่อเขามีโอกาสที่จะเปลี่ยนงานหรือสมัครงานใหม่ โดยอันดับแรก
- การได้รับสิทธิประโยชน์จากบริษัท เช่น เงินรายได้ โบนัส และค่ารักษาพยาบาล เป็นส่วนใหญ่ที่พนักงานมีความต้องการเป็นอันดับต้น ในส่วนประเด็นนี้ ผู้บริหารองค์กรต้องออกแบบการบริหารโครงสร้างค่าจ้างให้ดึงดูด สำหรับคนรุ่นใหม่ และการใช้โปรแกรมค่ารักษาพยาบาล ที่ไม่ต้องมาเป็นต้นทุนให้กับองค์กรในระยะยาว เมื่อพนักงานมีอายุมากขึ้น แต่กรณีที่พนักงานเกิดเจ็บป่วย บริษัทสามารถดูแลพนักงานได้เป็นอย่างดี
- ความมั่นคงในอาชีพ จากการเก็บข้อมูลมาเป็นอันดับที่สอง เมื่อพนักงานตัดสินใจเดินเข้าสู่องค์กร สิ่งที่เขาต้องการคือ ความมั่นคงในการทำงาน รวมไปถึง ความโปร่งใสในการปฏิบัติงาน ไม่ใช่ปฏิบัติงานไปช่วงหนึ่ง มีกระแสจากพนักงานที่ปฏิบัติงานมาก่อนหรือเรียกว่า ผู้มีอิทธิพลภายในองค์กร สร้างกระแส เพื่อให้เกิดปัญหาในการทำงาน จนพนักงานที่เข้าไปอยู่ใหม่ ไม่สามารถทนต่อสภาพที่เกิดขึ้นได้ ต้องจำใจ ลาออกจากองค์กรไป ลักษณะองค์กรที่เกิดขึ้น เป็นแบบนี้ ค่อนข้างเยอะ ทำให้บริษัทสูญเสียพนักงานที่เป็นผู้ร่วมงานที่มีความตั้งใจจริง เกิดความไม่มั่นใจ เพราะผู้บริหารก็เชื่อมั่น ไว้ใจคนเก่า ไม่ยอมรับฟังปัญหาคนที่มาใหม่ สุดท้ายพนักงานที่เข้ามาใหม่ ต้องเดินออกจากองค์กรไป โดยที่ไม่มีโอกาสได้บอกเหตุผล ที่สำคัญให้ผู้บริหารองค์กรทราบ ทำให้องค์กรเกิดความเสี่ยงขึ้นมาได้
- องค์กรมีชื่อเสียง สิ่งที่ผู้สมัครโดยทั่วไปต้องการก็คือ องค์กรที่มีชื่อเสียง มีแบนด์เนม มีสินค้าสำคัญที่ติดตลาด สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และสิ่งสำคัญบริษัทดังกล่าวได้ให้ความช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด จนทำให้ชื่อเสียงของบริษัท มีชื่อเสียงติดปากกับเยาวชน ที่ได้ศึกษาข้อมูลของบริษัท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความน่าเชื่อถือขององค์กร
- ฐานเงินเดือนที่สามารถแข่งขันได้ เมื่อพนักงานได้เข้ามาร่วมงานภายในองค์กรแล้ว สามารถนำข้อมูลเงินเดือนไปเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆ ที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน แล้วสิ่งที่พบคือ ฐานเงินเดือนอยู่ในอันดับต้นๆ ของธุรกิจ ก็จะยิ่งทำให้ ดึงดูดผู้สมัครที่เป็น Talent เข้ามาร่วมงานได้ง่ายยิ่งขึ้นF
- โอกาสในการฝึกอบรม พัฒนาเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ จะเห็นได้ว่าคนรุ่นใหม่มักจะสอบถามผู้บริหารองค์กรว่า มีทุนให้ศึกษาต่อไหม นั่นคือสิ่งที่ผู้สมัครมีความต้องการอยากศึกษาต่อ เพื่อหาความก้าวหน้าในอนาคต ฉะนั้นการที่องค์กรปิดกั้น การเรียนรู้ของพนักงาน ก็จะยิ่งทำให้เป็นการส่งเสริมให้พนักงานอยากออกไปสู่โลกภายนอกเร็วขึ้นนั่นเอง
สิ่งที่ผู้เขียนได้กล่าวมานั้น เป็นส่วนหนึ่งของการเก็บข้อมูลเชิงสถิติของผู้หางานที่อยากร่วมงานประมาณ 10 องค์กร ก็จะพอสรุปได้ว่า ผู้สมัครได้มีแนวคิดอย่างไรต่อบริษัทหรือองค์กรที่เขาอยากร่วมงาน สิ่งที่องค์กรควรจะต้องนำไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาองค์กรของตนเอง เพื่อรองรับผู้สมัครที่จะเดินเข้ามาสู่องค์กรได้
ดร.กฤติน กุลเพ็ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอโอดี คอนเซาท์ติ้ง แอนด์เทรนนิ่ง จำกัด