บริษัทที่จัดสวัสดิการให้กับพนักงาน ที่อาจจะครอบคลุมถึงครอบครัวพนักงาน ซึ่งบางครั้ง เมื่อหน่วยงาน HR นำไปปฏิบัติให้เกิดผลเลิศแล้ว อาจจะประสบปัญหาตามมาอีกมากมาย บางครั้ง ทำให้กระทบกระเทือนจิตใจพนักงานที่ทำงานภายในองค์กรก็มี จากที่ผู้เขียนมีประสบการณ์ที่สมัยตอนทำงานอยู่ โรงงานแห่งหนึ่ง มักจะพบว่า กรณีที่บริษัทให้สวัสดิการพนักงาน โดยคลอบคลุมถึงครอบครัวพนักงาน เช่น สามี ภรรยา บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเมื่อมีการเขียนไว้ในลักษณะนี้ ฝ่ายบุคคลจะต้องมีเอกสารกำกับทุกคนว่า กรณีที่ให้พนักงานไปนั้น หน่วยงานได้ปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ สมมุติว่าครอบครัวพนักงาน เป็นบุตร มาเบิกค่ารักษาพยาบาล โดยใช้วงเงินของพนักงานผู้เป็นบิดา ครอบครัวหนึ่งมีบุตร อายุ 18 ปี อีกครอบครัวหนึ่งมีบุตรอายุ 22 ปี ยังไม่ทีงานทำทั้งสองครอบครัว กรณีลักษณะนี้ บริษัทจะให้เบิกค่ารักษาพยาบาลหรือไม่ ก็จะเป็นข้อถกเถียงกันมาโดยตลอดว่า บริษัทควรจะกำหนดอายุของบุตรพนักงานไปเลยหรือไม่ว่า เป็นอายุ 20 ปี ถ้ากำหนดในลักษณะนี้ ปัญหาครอบครัวที่มีบุตร อายุ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เลย พนักงานจะเกิดความรู้สึกว่า ให้พนักงานมาเพื่ออะไร
เมื่อเป็นปัญหาเกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้ ทางฝ่ายบุคคลจะดำเนินการแก้ปัญหาอย่างไร เพื่อที่จะดูแลความเป็นอยู่ให้กับพนักงานได้ครอบคลุม โดยไม่ให้เกิดปัญหาจากพนักงานที่ทำงานให้กับองค์กรมานาน ผู้เขียนคิดว่าปัญหาลักษณะนี้ เกิดขึ้นกับหลายองค์กร แต่ก็ไม่มีข้อสรุปให้กับพนักงานอย่างถูกต้อง ผู้เขียนอยากขอนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ ให้เกิดความชอบธรรม ขึ้นอีกสักหน่อย เพื่อเป็นการดูแลพนักงานและครอบครัว ตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้อย่างแท้จริง จากการสำรวจข้อมูลของบุตรพนักงานที่เรียนจบแล้ว อายุประมาณ 21-22 ปีโดยเฉลี่ย การที่เราจะกำหนดให้เกิดความครอบคลุม จะต้องมีข้อมูล เพื่อชี้แจงผู้บริหารได้ และชี้แจงพนักงานได้ด้วย เมื่อทราบข้อมูลเช่นนี้เลยตั้งประเด็นที่ว่า การที่จะให้สวัสดิการครอบครัวพนักงาน กำหนดไปในลักษณะว่า บริษัทจะให้สวัสดิการพนักงานไปจนถึงอายุ 22 ปี และ ให้จนกว่าได้งานทำ แต่ไม่ควรเกิน 25 ปี ความหมายก็คือ เมื่อบุตรพนักงาน ได้จบการศึกษามาแล้ว ยังไม่มีงานทำ บริษัทก็ยังให้สวัสดิการอยู่ จนกว่าจะได้งานทำ เมื่อออกแนวปฏิบัติในลักษณะนี้ ก็จะทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกที่ดีต่อองค์กรหน่อย เพราะว่าสิ่งที่บริษัทได้มีหลักเกณฑ์ ลักษณะนี้ เหมือนว่าได้ดูแลครอบครัวพนักงานตามที่สมควร ในทางปฏิบัติฝ่ายบุคคลก็จะต้องมีความเชี่ยวชาญ ในเชิงข้อมูลว่า ครอบครัวไหน ที่มีงานทำแล้วบ้าง ก็ต้องมีหลักฐานและการแจ้งเอกสารไว้ให้ชัดด้วย เพื่อที่จะได้เป็นข้อมูลในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลกับทางบัญชีและการเงิน จากที่ผู้เขียนเคยปฏิบัติมา ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นจำนวนไม่มากเท่าไร แต่สิ่งที่บริษัทและองค์กรได้ใจพนักงานมากกว่า พนักงานมองว่า บริษัทได้ดูแลพนักงานตามที่สมควรแล้ว เมื่อได้งานทำ ก็ต้องมีการแบ่งเบาภาระบริษัท เป็นสิ่งที่พนักงานเขารับข้อเสนอนี้ได้