การบริหารองค์กรยุคใหม่ต้องมีความเข้าใจพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ เพื่อที่จะได้ดึงดูดพนักงานที่มีศักยภาพเข้าสู่องค์กร โดยเฉพาะคนที่เป็นคนเก่งและเป็นคน Gen Y ความต้องการก็จะไม่เหมือนคน Gen B ผู้บริหารองค์กรก็ต้องมีความเข้าใจสิ่งปลีกย่อยเหล่านี้ เพื่อที่จะได้วางระบบการทำงานของบริษัทให้ได้มาตรฐานตามที่พฤติกรรมคนรุ่นใหม่อยากให้เป็น แต่ไม่ใช่ว่าบริษัทจะไปเอาใจแต่คนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่องค์กรจะต้องปรับเพื่อให้เข้ากับแนวโน้มของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ถ้าองค์กรใดไม่ปรับ ก็จะไม่ได้พนักงานที่เดินเข้ามาสู่องค์กร จะทำอย่างไรที่ต้องหาวิธีดึงดูดคนเข้ามาสู่องค์กรให้ได้ก่อน หลังจากเมื่อพนักงานเข้ามาสู่องค์กรแล้ว ค่อยสร้างแรงจูงใจ เพื่อที่จะให้พนักงานเกิดความรู้สึกรักองค์กรตามมา
คนที่เป็นคนเก่ง เมื่อเข้ามาสู่องค์กรแล้ว ก็อยากจะเห็นองค์กรได้สร้างระบบอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาบ้าง ตัวอย่างเช่น เรารับพนักงานที่มีเกรดเฉลี่ย 3.89 เข้ามาสู่องค์กร คนเก่งที่จบออกมาจารั้วมหาวิทยาลัย ความต้องการของเขาไม่เพียงแต่ได้เข้ามาทำงานในองค์กรเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องการเพิ่มก็คือ อะไรบ้างที่บริษัทให้ความแตกต่างจาก พนักงานคนอื่นที่ไม่ได้เกียรตินิยม อย่าลืมว่าสิ่งที่พนักงานจบมาเกรดเฉลี่ยสูงขนาดนี้ ต้องมีองค์กรอื่นที่ให้ออฟชั่นแก่เขาอยู่แล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเลือกองค์กรใด ถ้าสมมุติว่าพนักงานเขาเลือกองค์กรเรา เพราะว่ามีญาติแนะนำมา และสถานที่ทำงานใกล้บ้าน ก็ถือว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับองค์กรแล้ว แสดงว่าโอกาสที่พนักงานจะต้องเดินออกจากองค์กรเริ่มมีสูง เพราะว่าองค์กรไม่ได้มีส่วนทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากทำงานด้วย นอกจากเหตุผลสองข้อที่กล่าวมา
ผู้เขียนได้เป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรหลายแห่ง ได้เห็นมุมมองของบริษัทที่ยังไม่มีแบรนด์เนมที่ติดตลาด เริ่มสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานที่เป็นคนเก่ง และคนดีให้อยู่กับองค์กรนาน ๆ โดยการสร้างระบบการบริหารงานบุคคลที่เกิดแรงดึงดูดพนักงานที่เป็นคนเก่งเอาไว้ โดยการปรับอัตราค่าจ้างเมื่อมีผลการประเมินผ่านไป 3 เดือน ให้ค่าเกียรตินิยมสำหรับพนักงานที่ได้เกรดเฉลี่ยตั้งแต่ 3.00 ขึ้นไป ส่งเสริมให้มีการสอบชิงทุนไปเรียนต่อในระดับปริญญาโททั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อเข้ามาแล้วระบบการประเมินผลการผ่านทดลองงานแบบเข้มข้นของบริษัท ถ้ากรณีที่พนักงานที่เป็นคนเก่ง มีการปฏิบัติที่ได้เป้าหมายขององค์กร ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบกำหนดของระยะเวลาการทดลองงาน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนเก่งทีมีศักยภาพของบริษัทเกิดความรู้สึกว่า เขาเป็นเคนสำคัญที่องค์กรได้ให้เกียรติมากกว่ากลุ่มอื่น ผู้เขียนมองว่านั่นคือ เป็นสัญญาณบ่งบอกเป็นอันดับแรกว่า องค์กรได้ดูแลพนักงานใหม่ ที่เกิดความแตกต่างในระดับหนึ่งเท่านั้น
สิ่งที่ผู้เขียนได้สัมภาษณ์น้องพนักงานใหม่ที่รับเข้ามาในบริษัทว่า สิ่งที่เขาประทับใจในส่วนใดที่บริษัทได้ดูแลให้อยู่ ณ ขณะนี้ พนักงานมองไปถึงเรื่อง การให้เกียรติพนักงานที่ทำงานดี บริษัทได้บรรจุก่อนครบกำหนดการทดลองงาน ซึ่งเป็นสิ่ง ที่พนักงานเกิดความประทับใจ สร้างความแตกต่าง และยังทำให้พนักงานภายในองค์กร อยากจะมีพฤติกรรมแบบนั้น เพื่อที่จะได้บรรจุก่อนบ้าง การสร้างระบบต่างๆ เหล่านี้ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการดึงดูดพนักงานในช่วงระยะแรกเท่านั้น แต่การที่พนักงานจะอยู่องค์กรได้นาน ต้องมีองค์กรประกอบอีกมากมาย หลายประการ ซึ่งผู้เขียนจะขอยกตัวอย่าง การที่พนักงานคงอยู่ในองค์กรเพราะสาเหตุใดบ้าง ดังนี้
REASON TO STAY
- ความก้าวหน้าในอาชีพ (Career growth)
- พัฒนาการและการเรียนรู้ (Learning and Development)
- งานที่ท้าทาย (Exiting work and Challenge)
- งานที่มีคุณค่าต่อองค์กร (Meaningful work, Making a difference and a Contribution)
- เพื่อนร่วมงานดี (Great People)
- ผู้บังคับบัญชาดี (Good Boss)
- การยกย่อง (Recognition for work well Done / Praise)
- การให้อิสระในการทำงาน (Autonomy)
- ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น (Flexible work Hour)
- ผลตอบแทนที่เป็นธรรม (Fair pay and Benefit)
สิ่งที่ประกอบให้พนักงานได้ตัดสินใจอยู่องค์กร ในอันดับแรกคือ
ความก้าวหน้าในงานอาชีพ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งแรกที่ทำให้พนักงานเกิดการคงอยู่ของพนักงาน เพราะพนักงานเมื่อเข้ามาทำงานสักระยะหนึ่ง ก็อยากมีชีวิตที่มั่นคง มีหน้าที่การงานที่สูงขึ้น ตามทฤษฎีของ มาสโลว์ นั่นเอง
ก่อให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้น การที่พนักงานอยู่ในองค์กร บริษัทต้องพัฒนาให้ความรู้แก่พนักงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะส่งไปดูงานทั้งในและต่างประเทศ การส่งพนักงานไปเข้ารับการฝึกอบรมภายนอก
การให้งานที่ท้าทาย พนักงานที่มีศักยภาพสูง ต้องการทำงานที่มีคุณค่า งานที่ใช้ทักษะ และความรู้ อยากให้หัวหน้าได้มอบหมายงานที่เพิ่มขึ้น
งานที่มีคุณค่าต่อองค์กร ในบริษัทก็จะมีการแบ่งพนักงานที่เป็นสายงานหลัก และสายงานรอง ถ้าเป็นกรณีสายงานหลักที่ทำกำไรให้กับองค์กร พนักงานก็อยากจะมีส่วนเข้าไปรับผิดชอบ ฉะนั้นบริษัทก็ต้องสร้างระบบให้มีการพิจารณาพนักงานที่มีศักยภาพเข้าไปทำงานในสายงานหลัก เพื่อให้เกิดคุณค่าต่อองค์กร
เพื่อร่วมงานที่ดี สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือเพื่อนร่วมงานที่มีทัศนคติดี เวลาทำงานมีความเป็นทีมไม่แบ่งพรรค แบ่งพวก มีความอิจฉา ริษยา สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่พนักงานที่เป็นคนเก่งมักไม่ค่อยชอบ เพราะว่าเขาเป็นคนเก่งสิ่งที่เขาต้องการคือ การวัดด้วยผลงานอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องอาศัยระบบพวกพ้อง
มีผู้บังคับบัญชาที่ดี พนักงานมีความต้องการหัวหน้าที่ดี มีคุณธรรม มีความโปร่งใส ในการทำงาน ให้เกียรติลูกน้อง พอมีการให้ความดี ความชอบ ก็พิจารณาจากผลงานเป็นหลักไม่เลือกพวกพ้อง
การยกย่องชมเชย ทักษะการบังคับบัญชาเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องสร้างแรงจูงใจ ในการทำงาน เมื่อเวลาพนักงานทำดีมีผลงาน ก็ต้องได้รับการยกย่อ สรรเสริญ เพื่อให้พนักงานในสังกัดทราบถึง ความดี ความชอบ ไม่ใช่ปล่อยไปตามธรรมชาติ
มีอิสระในการทำงาน เมื่อพนักงานเข้ามาทำงานแล้ว ก็ต้องให้พนักงานทำงานในสิ่งที่เขาชอบ ให้ความอิสระในการทำงาน ดึงพนักงานเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ในกระบวนการทำงาน เพื่อจะได้ให้พนักงานมีโอกาสได้ปรับปรุงกระบวนการทำงานของเขาเอง
มีช่วงโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น การทำงานในโลกยุคใหม่มุ่งเน้นไปที่ผลของงานเป็นหลัก ควรมีการปรับระบบการทำงานที่มีความเป็นทางการออกบ้าง เพื่อที่จะได้ส่งเสริมให้พนักงานเกิดความรู้สึกที่ดี ไม่มององค์กรไปในทางที่ไปในด้านลบ
ผลตอบแทนที่เป็นธรรม เมื่อถึงการให้ความดี ความชอบ ก็มีการพิจารณาจากผลงานของพนักงานเป็นหลัก ไม่เลือกความอาวุโสของพนักงาน
จากสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นกระบวนการหนึ่งที่ทำให้พนักงานใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามาสู่องค์กรเกิดความประทับใจ ตั้งแต่เริ่มแรก พนักงานเมื่อตัดสินใจเข้ามาทำงานภายในองค์กรแล้ว จะมีความรู้สึกรักองค์กร ไม่อยากจากจากองค์กรไปที่ไหน ถ้าระบบการทำงานภายในองค์กรดี ก็ยิ่งทำให้การตัดสินใจออกจากองค์กร เป็นสิ่งที่ยากสำหรับพนักงาน