แนวทางการบริหารคน บางครั้งอาจจะต้องศึกษาแนวทาง  ในการดำเนินการอย่างเป็นระบบให้ดีเสียก่อน  มิฉะนั้นแล้ว จะเป็นการเสริมแรงให้กับพนักงานที่เป็นบุคลากรทำงานของบริษัท ที่กำลังจะหาทางออกจากองค์กรอยู่แล้ว  หรือไม่ก็ทำงานรองานรองานที่ใหม่อยู่  พนักงานเหล่านี้จะมีพฤติกรรมออกไปในทางที่ไม่ค่อยยินดียินร้ายต่อองค์กรสักเท่าไร  บริษัทหรือองค์กรจะทำอะไรก็ทำไป  โดยไม่มีข้อคิดเห็นอะไร ไม่มีข้อโต้แย้ง  ถ้ามองตามแนวคิดของ Gullup ตามแนวคิดเรื่อง  Employee Engagement

400008

          พนักงานดังกล่าวที่ว่านี้  จะอยู่ในกลุ่ม  พนักงานที่ไม่ยึดติดกับผูกพันต่อองค์กร(Not-engaged) คือพนักงานไม่มีความกระตือรือร้นในการทำงาน  และไม่ตั้งใจทำงานทำงานไปเรื่อยๆ ทำไปบ่นไป แต่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร และ พนักงานที่ไม่มีความผูกพันต่อองค์กร(Actively disengaged) คือพนักงานที่ไม่มีความสุขในการทำงาน  เป็นพนักงานที่ไม่มีความผูกพันต่อองค์กร ถ้ามีโอกาสพร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อ  หากมีอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจเพียงเล็กน้อย ก็จำนำมาเป็นประเด็นที่จะเดินออกจากองค์กร

บริษัทหรือองค์กรได้ทำการวิเคราะห์พนักงานไว้บ้าง บางส่วนก่อนที่จะออกมาตรการ  ก็จะทำให้ได้รับประโยชน์จากส่วนนี้มากที่สุด  เพราะว่าส่วนหนึ่งพนักงานทั้งสองกลุ่มที่กล่าวมาข้างต้น มีกลุ่มที่เป็นพนักงานจำนวนมากเสียส่วนใหญ่  มีถึงประมาณ  71  %  ขององค์กร ถ้าบริษัทตัดสินใจใช้มาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป  พนักงานที่อยู่ในทั้งสองกลุ่ม  ก็จะพร้อมที่จะตัดสินใจทันทีเหมือนกัน  จากที่ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ ในการทำงานอยู่ที่องค์กรแห่งหนึ่ง  ผู้บริหารมีนโยบายที่จะดำเนินการกับพนักงาน  จึงต้องมาตรการ เพื่อเอาคนที่ไม่มีคุณภาพออก

โดยวางหลักเกณฑ์ว่า  กรณีที่พนักงานที่มีผลการประเมินการปฏิบัติงานที่อยู่ในระดับ D  สองปีซ้อน  บริษัทจะดำเนินการปลดพนักงานออกจากการเป็นพนักงาน  โดยจ่ายค่าชดเชยให้ตามกฎหมาย  เมื่อบริษัทได้ออกประกาศไปให้กับพนักงานทราบ  พนักงานที่อยู่ในทั้งสองกลุ่มที่กล่าวมาข้างต้น  เขาเตรียมความพร้อมที่จะออกจากองค์กรอยู่แล้ว  เกิดพลังเงียบขึ้นมาทันที  พนักงานดังกล่าวจะพยายามให้หัวหน้าประเมินผลตัวเขาเอง  ให้อยู่ในเกณฑ์ระดับ D  เพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทได้ประกาศไป  จากข้อมูลที่ระดับหัวหน้า หลายหน่วยงานได้ขึ้นมาเล่าเรื่องนี้ให้ผู้บริหารทราบ ว่าพนักงานเกิดแนวคิดและความรู้สึกอย่างนี้  จะให้ทำอย่างไรดี

เมื่อผู้บริหารทราบ ก็ตกใจอยู่เหมือนกันว่า พนักงานทำไมถึงมีแนวคิดลักษณะนี้  จึงได้มานั่งหาข้อมูลเพิ่มเติมกัน  ก็ได้ข้อมูลที่เพิ่มเติมว่า  บริษัทดังกล่าวมีการเปลี่ยนผู้บริหารกันหลายรอบ  พนักงานเกิดความไม่มั่นคงอยู่แล้ว  ทำงานไปวันๆ หนึ่ง  บางคนก็ออกหางานใหม่ แต่ยังไม่ได้ ก็เลยทำงานเพื่อรองานใหม่ไปก่อน  บางคนไปสมัครงานบริษัท ก็ตอบรับมาแล้ว  พอบริษัทได้มีมาตรการลักษณะนี้ออกไป ก็มีการประวิงเวลาที่จะออกไปอีก  เพื่อที่จะต้องการได้เงินก้อนก่อนไป เป็นทุนไว้ส่วนหนึ่ง  ส่วนใหญ่พนักงานมีอายุงานเกิน 3  ปีขึ้นไปเกือบทั้งนั้น ถ้าจ่ายตามกฎหมาย พนักงานก็จะได้รับเงินเท่ากับ  6+1  =  7   คือ  เงินค่าชดเชย 6 เดือน  และค่าบอกล่าวล่วงหน้าอีก 1  เดือน  มองแล้วพนักงานจะได้เงินก่อนไปส่วนหนึ่ง  ที่แลกกับการให้หัวหน้าประเมินผลงานของตัวเองไปในทางที่ไม่ดี  ซึ่งพนักงานมองว่าสิ่งดังกล่าวไม่ได้ช่วยอะไรให้เขาดีขึ้น  สู้เอาเงินที่เป็นก้อนไปดีกว่า คุ้มค่ากว่า  จึงเป็นแนวคิดของพนักงานที่มีความสนใจ ที่จะให้หัวหน้าของตัวเองประเมินให้เขาไปในทางที่ไม่ดี  แต่มีพนักงานบางกลุ่มไม่พูด แต่แสดงออกถึงความก้าวร้าว เช่น เถียงหัวหน้า ไม่ปฏิบัติงาน มาทำงานสาย มีการขาดงาน ลาป่วย บ่อยมาก  เพื่อที่จะให้หัวหน้าพิจารณาตัวเอง ให้เข้าข่ายดังกล่าวให้ได้

มาตรการดังกล่าว จึงเป็นเครื่องอุทาหรณ์ให้ ผู้บริหารองค์กรได้พิจารณาถึงมาตรการอย่างท่องแท้ และรอบคอบเสียก่อน  มิฉะนั้นจะทำให้เข้าทางพนักงานทั้งสองกลุ่มที่กำลังจะเตรียมตัวออกจากองค์กรอยู่แล้ว  บริษัทเลยต้องมาเสียค่าใช้จ่ายแบบที่ไม่ควรจะเสียออกไป  การที่จะมีหลักเกณฑ์ดังกล่าว  สิ่งที่ผู้บริหารควรจะให้ฝ่าย HR  เป็นผู้ไปหาข้อมูลจากพนักงานก่อน  ซึ่งอาจจะใช้การโยนหิน ถามทาง  สำหรับกลุ่มพนักงาน  ก็จะได้ข้อมูลอะไรที่ออกจากพนักงานที่เป็นข้อมูลจริง  เพื่อที่จะได้นำข้อมูลที่ได้มาวางแผน การกำหนดหลักเกณฑ์  ให้เกิดความถูกต้องกับข้อเท็จจริงยิ่งขึ้น

      จากการทดสอบสมมุติฐาน Employee Engagement   จะมีค่าสหสัมพันธ์ทางบวก

การวัดปัจจัยแห่งความสำเร็จในสัดส่วนที่สูง  ซึ่งปัจจัยที่ใช้วัดความสำเร็จขององค์การนั้น จะรวมไปถึงอัตราการลาออกของพนักงาน ผลผลิตที่เกิดขึ้น ยอดขาย และความพึงพอใจของลูกค้า  และผลตอบแทนสู่ผู้ถือหุ้น (Total Shareholder Return)    ซึ่งจะเป็นข้อสังเกตง่ายๆ  ว่าถ้าองค์กรใดก็ตามที่ผลปัจจัยของความสำเร็จขององค์กร มีสัดส่วนที่สูง  โดยส่วนใหญ่พนักงานจะไม่ค่อยตัดสินใจที่จะออกจากองค์กร  เพราะว่าตัวเขาเองได้รับผลประโยชน์อยู่  และการที่เขาจะออกจากองค์กรไป ก็คิดหนักว่า  ที่เขาตัดสินใจออกไปนั้นมีความเสี่ยงมากน้อย ขนาดไหน