ผู้บริหารองค์กรและนักบริหารงานบุคคลต้องเตรียมเก็บข้อมูลของพนักงานในแต่ละเดือนของทุกๆ ปี ไว้ด้วยว่าพนักงานในองค์กรมีความเคลื่อนไหวในแต่ละเดือนอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์ในการสรรหาและคัดเลือกคนเข้าสู่องค์กรด้วยเช่นกัน  ถ้าหน่วยงานบริหารงานบุคคลไม่ได้เก็บข้อมูลเอาไว้  ก็จะไม่ทราบเลยว่าบริษัทหรือองค์กรมีพนักงานเคลื่อนไหวในแต่ละเดือน และนำข้อมูลดังกล่าวไปวางแผนในการรับคนมาทดแทนได้ถูกต้องอีกด้วย

จากที่ผู้เขียนมีประสบการณ์ในการทำงาน ทั้งในภาคธุรกิจอุตสาหกรรม และธุรกิจโรงพยาบาล  ผู้เขียนมักจะเก็บข้อมูลพนักงานที่ลาออกในอัตราที่สูงที่สุดของแต่ในเดือน ซึ่งในช่วงเดือนดังกล่าวจะต้องเตรียมแผนในการับคนมาทดแทนได้ทันความต้องการขององค์กรได้ ซึ่งการเก็บข้อมูลของหน่วยงานที่รับผิดชอบในการลาออกของพนักงานต้องนำมาเปรียบเทียบกันในแต่ละปีด้วย  เพื่อจะได้ดูแนวโน้มของพนักงานที่ลาออกมากที่สุดในช่วงเดือนใด ซึ่งการลาออกของพนักงานดังกล่าว จะต้องมีเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการและข้อมูลข้อเท็จจริง โดยผู้เขียนขอนำเสนอข้อมูลที่เป็นขององค์กรแห่งหนึ่งที่ผู้เขียนเคยเก็บข้อมูลไว้ และนำมาวิเคราะห์ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงและนำมาวางแผนกลยุทธ์ขององค์กรได้  แต่อย่างไรก็ตามนักบริหารงานบุคคลจะต้องมีข้อมูลเชิงลึกของพนักงานที่ลาออกจากองค์กรด้วยเช่นกัน  เพราะว่าเหตุผลของพนักงานที่เขียนในแต่ละคนมีความหลากหลาย  เมื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว  อาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้  ในแต่ละองค์กรควรมีพนักงานที่เป็น เจ้าหน้าที่บุคคล ที่ทำหน้าที่โดยตรงในด้านนี้ คอยเข้าไปมีส่วนร่วมกับพนักงานทุกกิจกรรม  ก็จะทำให้ได้รับข้อมูลข่าวสารที่เป็นของจริง และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ตรงประเด็นอีกด้วย

          จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า  อัตราการลาออกของพนักงานองค์กรแห่งหนึ่ง เมื่อเทียบกัน สองปี จะมีช่วงประมาณเดือน เมษายน-พฤษภาคม ของทุกปี จะมีอัตราการลาออกของพนักงานค่อนข้างสูง  ผู้เขียนก็ได้พยายามหาข้อมูลมาสนับสนุน จากเหตุผลการลาออกของพนักงานในเชิงลึก ไม่ใช่จากการเขียนเหตุผลการลาออกของพนักงาน  ก็ปรากฏว่าเหตุผลที่แท้จริงของพนักงานที่ลาออกของบริษัทดังกล่าวคือ  ช่วงที่บริษัทได้จ่ายเงินโบนัสประจำปี  ซึ่งองค์กรที่ยังไม่มีระบบที่มั่นคง และสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานให้มีความจงรักภักดีต่อองค์กรแล้ว  โดยส่วนใหญ่พนักงานจะถือฤกษ์ว่า  เขาจะต้องเปลี่ยนงานในช่วงที่เขาได้ผลประโยชน์สูงสุดก่อน  แล้วค่อยลาออก   จึงเป็นข้อมูลที่สามารถฟันธงได้เลยว่า พนักงานลาออกจากองค์กรคือ ต้องการหลักประกันที่มั่นคง  เลือกองค์กรที่ดีกว่า และก่อนจะออกพนักงานจะต้องได้ผลประโยชน์ที่สูงสุดก่อน  จึงเป็นที่มาของข้อมูลว่า บริษัทได้จ่ายโบนัสในช่วงสิ้นเดือน มีนาคมของทุกๆปี  พนักงานก็จะทยอยออกหางานใหม่ก่อน เพื่อจะได้เตรียมสถานที่ทำงานแห่งใหม่ไว้ เมื่อมีการจ่ายโบนัสของบริษัท ก็ยื่นใบลาออกทันที   จึงเป็นเหตุผลที่ค่อนข้างชัดเจนและมีความเป็นไปได้ที่สุด

ในทางปฏิบัติองค์กรก็ได้มีมาตรการที่ตอบโต้พนักงานที่คิดออกในช่วงที่มีการจ่ายโบนัส อีกเช่นกัน  โดยการออกแนวปฏิบัติว่า ถ้าพนักงานลาออกโดยบริษัททราบก่อน ถึงแม้จะมีผลในเดือนถัดไปก็ตาม  บริษัทอาจจะไม่พิจารณาจ่ายเงินโบนัสประจำปีก็ได้  ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นปัญหาในทางปฏิบัติของฝ่ายบุคคลและหัวหน้างานอีกเช่นกัน  ว่าจะยึดอะไรเป็นเกณฑ์ในการทราบข้อมูลเพื่อที่จะตัดสินใจว่าไม่จ่าย  พนักงานบางคนหัวหน้าทราบดีว่าจะลาออก แต่ยังไม่เขียนใบลาออก จะไม่จ่ายได้หรือไม่ หรือแม้กระทั่งพนักงานเขียนใบลาออกมีผลถูกต้องตามหลักเกณฑ์แต่องค์กรไม่จ่ายเงินโบนัสให้ จะถือว่าเป็นธรรมสำหรับพนักงานหรือเปล่า  ที่เขาได้ทำงานมาทั้งปี  ซึ่งก็ยังเป็นปัญหาที่องค์กรไม่สามารถหาคำตอบได้  พนักงานก็ต้องปิดบังความลับจนกว่าจะได้รับโบนัส แล้วค่อยเขียนใบลาออก  ก็ทำให้มีวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ซื่อตรงต่อกัน  หัวหน้าทราบว่าลูกน้องจะลาออกแต่ไม่กล้าแจ้งฝ่ายบุคคล เกรงว่าลูกน้องจะไม่ได้รับโบนัส  หรือเป็นสิ่งที่รู้กันเลยว่า พนักงานเขียนใบลาออกเอาไว้ก่อนล่วงหน้า แล้วค่อยมายื่นหลังจากได้รับโบนัสแล้ว  พอบริษัทได้จ่ายโบนัสประจำปีออกไป  ใบลาออกก็จะถูกส่งมาจากหน่วยงานเป็นจำนวนมาก  ส่งผลให้ฝ่ายบุคคลวางแผนในการรับพนักงานไม่ทันความต้องการอีก

เมื่อทราบข้อมูลเช่นนี้องค์กรและผู้บริหารควรปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่  เพื่อที่จะได้ใจของพนักงานที่จะลาออกจากองค์กร  ควรทำแบบตรงไปตรงมาดีไหม  เมื่อพนักงานมีความประสงค์จะลาออก โดยมีผล 1  เมษายนในแต่ละปี  โดยตามความเป็นจริงก็ควรจะให้พนักงาน  เพราะว่า เขาได้ทุ่มเทในการทำงานมาทั้งปี  ที่เขาตัดสินใจไม่อยู่องค์กรเพราะว่า ไม่ชอบการบริหาร  วิธีการทำงาน  และความมั่นคง การเจริญก้าวหน้าของพนักงาน  องค์กรก็ต้องนำสิ่งเหล่านั้นมาปรับปรุงแก้ไข ให้พนักงานเกิดความประทับใจ ภาคภูมิใจ  ผู้เขียนเชื่อว่า ด้วยธรรมชาติของมนุษย์ จะตัดสินใจอยู่กับองค์กรนั้น  เพราะเชื่อว่าองค์กรที่มีบุญคุณต่อเขา และพนักงานมีโอกาสฝากชีวิตและความหวังกับบริษัทได้  เชื่อว่าพนักงานไม่กล้าออกจากองค์กรไปแน่นอน

โดย  ดร.กฤติน  กุลเพ็ง

Date  20.12.2013