การคัดเลือก บุคลากร เข้ามาทำงานในองค์กรนับได้ว่าเป็นภารกิจที่ยากที่สุด ของผู้บริหารและฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งตรงกับคำพูดของ นายแอนดรูว์ โกรฟ ประธานกรรมการ บริษัท อินเทรน จำกัด ยักษ์ใหญ่แห่งซิลิกอน แวลลี่ย์ เป็นบริษัทที่ติดอันดับหนึ่ง ในนิตยสารฟอร์จูน 500 เขียนไว้ในหนังสือชื่อ “การบริหารเพื่อผลงาน” (High Output Management) ผู้บริหารและฝ่ายทรัพยากรมนุษย์จำนวนมากในบ้านเรามักจะมองข้ามความสำคัญโดยไม่คิดที่จะพัฒนากระบวนการให้การคัดเลือกมีประสิทธิภาพสูงสุดนับว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งต่อองค์และเป็นการทำงานที่ไม่ใช่มืออาชีพโดยแท้จริง

กระบวนการคัดเลือกบุคลากร หมายถึงการกลั่นกรองและตัดสินใจ เพื่อให้ได้มาซึ่งบุคคลที่เหมาะสมโดยบุคคลนั้นจะต้องมีความรู้ความสามารถ มีพฤติกรรมที่ตรงตามตำแหน่งงานและเหมาะสมกับองค์กรมากที่สุด เคล็ดลับสำคัญคือต้องดำเนินการตามกระบวนการคัดเลือกบุคลากร ดังต่อไปนี้

1.   เคล็ดลับในการประกาศรับสมัครพนักงานใหม่

เมื่อสมัยก่อนๆ การประกาศรับสมัครพนักงานใหม่ ถ้าขาดตำแหน่งใดก็จะทำการประกาศรับตามความจริงของตำแหน่งงานนั้น โดยระบุไปเลยว่า เป็นชายและเป็นหญิง

พอประมาในยุคปัจจุบัน การประกาศรับพนักงานจะไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว เพราะสิทธิ์เท่าเทียมกันของหญิงที่มีสิทธิทุกอย่างเท่าเทียมกับชาย  ฉะนั้นการประกาศรับสมัครโดยทั่วไปจะต้องระบุเป็น ทั้งชายและหญิง ด้วยเช่นกัน  ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงต้องการพนักงานชายมากกว่า

ความเห็นของผู้เขียน สิ่งไหนที่เป็นข้อกฎหมายควรจะกระทำให้ถูกต้อง เมื่อการประกาศรับและมีผู้สมัครเข้ามาทั้งเป็นหญิงและเป็นชาย ก็ให้กระบวนการสัมภาษณ์เป็นผู้ตัดสินใจคัดเลือกว่าจะรับใครเข้ามาในองค์กร

2.   เคล็ดลับในกระบวนการทบทวนใบสมัคร

ให้ดูเรื่องการเขียนประวัติส่วนตัวว่ามีหัวข้อสำคัญดังต่อไปนี้หรือไม่ ?

    •          ข้อมูลส่วนตัวทั่วไป ประวัติการศึกษา
    •          ประวัติการฝึกอบรม
    •             ประวัติการฝึกงาน
    •          ประสบการณ์ในการทำงาน
    •          งานอดิเรกหรืองานเพื่อส่วนรวม
    •        ข้อมูลการเกณฑ์ทหาร
    •          ข้อมูลของผู้อ้างอิง

ให้ดูเรื่องการพิมพ์ต้นฉบับ ประวัติส่วนตัวว่าเป็นแบบนี้หรือไม่ ?

    •          เลือกตัวหนังสือที่คมชัด อ่านออกได้ง่าย ไม่ลายตา
    •             เลือกระดาษที่มีคุณภาพดี สีขาว หรือสีอ่อนๆ
    •             เว้นระยะห่างขอบกระดาษ ทุกด้านไม้น้อยกว่า 1 นิ้ว
    •             ขีดเส้นใต้หรอทำตัวใหญ่เพื่อเน้นให้เห็นชัดเจนในหัวข้อสำคัญ
    •             ขึ้นย่อหน้าใหม่มีการเว้นบรรทัด อย่างถูกต้องไม่สับสน
    •             ความผิดพลาดของเครื่องหมายวรรคตอน ไวยากรณ์และการสะกดคำ

ให้ดูการกรอกใบสมัครว่าเป็นแบบนี้หรือไม่ ?

    •         อ่านคำแนะนำก่อนกรอกใบสมัคร
    •           เขียนใบสมัครด้วยรายมือตัวบรรจง
    •           กรอกใบสมัครได้ถูกหลักไวยากรณ์
    •          ใช้ภาษอังกฤษ ตัวพิมพ์ใหญ่ ในใบสมัคร
    •          กรอกชื่อ นามสกุลได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน
    •          ที่อยู่ สถานที่ติดต่อได้ชัดเจน
    •          กรอกใบสมัครได้ครบถ้วนทุกคำถาม
    •          ใส่ชื่อบุคคลอ้างอิงในใบสมัคร
    •          ตรวจสอบความถูกต้องใบสมัคร

การกรอกใบสมัครถือเป็นสิ่งสำคัญ บางองค์กรจะดูผู้สมัครตั้งแต่เริ่มการเขียนใบสมัครว่ามี ความตั้งใจจริง ที่จะมาอยู่องค์เขาหรือไม่ เช่น  การกรอกใบสมัครด้วยตัวบรรจง สามารถอ่านได้ชัดเจน การเขียนหนังสือใช้ภาษาไทยสะกดคำถูกต้อง รวมทั้งวรรณยุกต์ที่ใช้ หรือใช้ภาษาเหมาะสมหรือเปล่า  จากประสบการณ์การคัดเลือกใบสมัครของเจ้าหน้าที่บุคคล  ที่ได้รับผิดชอบการคัดเลือกใบสมัครพบว่า ที่ผ่านมา เคยคัดใบสมัครที่เขียน ชื่อ-นามสกุล อ่านไม่ออกและสะกดยาก ไม่ได้รับสิทธิ์การเข้าสัมภาษณ์เบื้องต้นด้วย  ผู้สมัครควรจะต้องมีความใส่ใจในเรื่อง การทบทวนใบสมัครให้มีความถูกต้องและชัดเจน อ่านง่ายด้วยครับ

 2. เคล็ดลับในกระบวนการสัมภาษณ์

2.1 แนะนำตนเองและอธิบายวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์  จะทำอย่างไรที่สร้างความคุ้นเคยกับผู้ถูกสัมภาษณ์ เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกประหม่า เขอะเขิน ซึ่งจะทำให้ไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและตรงประเด็นนั่นเอง ผู้สัมภาษณ์จะต้องสร้างบรรยากาศในการสัมภาษณ์ให้เกิดขึ้นในระหว่างการสัมภาษณ์  เช่น  ในช่วงที่ผู้ถูกสัมภาษณ์มีการแนะนำตนเอง ว่าชื่ออะไร อยู่ที่ไหน มีพี่น้องกี่คน

ผู้ถูกสัมภาษณ์เป็นคนที่เท่าไร ในส่วนของคณะกรรมการควรจะมีการแนะนำทีมงานคณะกรรมการสัมภาษณ์ด้วย เพื่อสร้างความคุ้นเคย เป็นกันเอง  บางองค์กรแนะนำตัวเอง เป็นชื่อ เล่นและแทนตัวเองว่าพี่  ซึ่งจะทำให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เรียกคณะกรรมการสัมภาษณ์ เป็น พี่…….   จะทำให้เกิดความเป็นกันเอง และผู้ถูกสัมภาษณ์ยินดีที่จะให้ขอมูลและเปิดเผยความจริงทั้งหมดด้วย

2.2 เมื่อแนะนำตัวเสร็จแล้ว เปิดโอกาสให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เล่าเรื่องราวของตนเองให้มากที่สุด เริ่มคำถามที่ตอบง่ายเพื่อให้เกิดความรู้สึกไม่เครียดและเป็นกันเอง

2.3 ต้องตั้งใจฟัง คำถามต่างๆที่สำคัญต้องมีการบันทึกไว้ทุกครั้ง คณะกรรมการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่ขาดในเรื่องนี้  เพราะว่าไม่มีการบันทึกการสัมภาษณ์ พอถึงในช่วงสรุปข้อมูลการสัมภาษณ์ช่วงสุดท้ายเพื่อที่จะคัดเลือกพนักงาน ปรากฎว่าไม่มีข้อมูลที่จะมาโต้แย้งกัน หรือมีก็มีไม่ครบเลยทำให้เกิดปัญหาการโต้เถียงกันได้ระหว่างคณะกรรมการสัมภาษณ์

2.4 การสร้างบรรยากาศแบบ Bad Guy  และ Good Guy     คณะกรรมการสัมภาษณ์ บางองค์กรแบ่งหน้าที่กันทำ  โดยส่วนใหญ่กรรมการที่มีการแต่งตั้งเพื่อสัมภาษณ์พนักงาน 1 ตำแหน่ง จะมีประมาณ  5  คน ที่มีเป็นเลขคี่ ก็เพราะจะได้ไม่มีปัญหาเรื่อง การให้คะแนนที่อาจจะเสมอกันได้ เมื่อมีการเสมอกัน ผู้เป็นประธานจะเป็นผู้ชี้ขาด

คณะกรรมการสัมภาษณ์แบ่งงานกันทำโดยให้ กรรมการส่วนหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้แสดงบทบาทเป็นผู้ร้าย (Bad Guy)  โดยจะใช้คำพูดที่ค่อนข้าง ก้าวร้าว รุนแรง และแสดงอารมณ์ไม่ดีต่อ ผู้เข้ารับการสัมภาษณ์  เช่น

“ที่คุณพูดมา ผมไม่เห็นด้วยเลย ผมว่าคุณกลับไปอยู่บริษัทเดิมของคุณดีกว่า”

“คุณผูกเนคไท เข้ามาเดินในโรงงานในวันนี้  คุณไม่รู้จักโรงงานดีพอ จะมาทำงานที่นี่ได้อย่างไร”

ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นบทผู้ร้าย จะต้องวางตัวให้สมบทบาท  เพื่อที่จะดูพฤติกรรมความรู้สึกของผู้ถูกสัมภาษณ์ว่า จะทนสภาพความรู้สึกกดดัน ได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งในบางครั้งผู้ที่สวมบทบาทนี้ต้องมีความระมัดระวังตัวด้วย เพราะว่าผู้เข้ารับการสัมภาษณ์ที่เป็นผู้ชาย  อาจจะไม่พอใจในคำพูดของผู้สวมบทบาท จะนำมาซึ่งการทะเลาะวิวาทกันได้  จากประสบการณ์ของผู้เขียน ถ้ามีการเล่นบทบาทนี้แล้ว หลังจากจบการสัมภาษณ์ คณะกรรมการสัมภาษณ์ผู้ที่สวมบทบาทจะไปขอโทษ ผู้ถูกสัมภาษณ์ด้วยตนเอง  โดยไปบอกความรู้สึกที่ดี และบอกเหตุผลว่าที่ทำไป คือ การทดสอบอะไรจากเขา  จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่เคยถูกสัมภาษณ์ในลักษณะนี้   ผู้ที่เป็นกรรมการเล่นบทผู้ร้าย จะเดินเข้ามาขอโทษ และบอกว่า “ น้องพี่ขอโทษนะ พี่สัมภาษณ์กับน้องรุนแรงไป พี่ถูกให้รับบทพิเศษที่จะทดสอบน้องว่า น้องมีความสามารถทดแรงกดดันได้หรือเปล่า แต่น้องใช้ได้นะ พี่ขอชม” ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้ถูกสัมภาษณ์จะให้การตอบรับที่ดี เมื่อมีการขอโทษในลักษณะนี้

บทการเล่นเป็นผู้ร้าย  อาจจะต้องดูพฤติกรรมของผู้ถูกสัมภาษณ์ด้วยเช่นกัน ในกรณีที่ผู้สัมภาษณ์เป็นคนเรียบร้อย  พูดจาสุภาพและเป็นเพศตรงกันข้ามกับคณะกรรมการสัมภาษณ์ การเล่นบทเป็นผู้ร้าย อาจจะมีความลำบาก เพราะว่าคำพูดที่ใช้ไปนั้น  จะค้านกับความรู้สึกของพฤติกรรมการสัมภาษณ์ที่เป็นจริงได้  จากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ที่เคยไปบรรยายแล้วให้ผู้เข้าสัมมนาได้ทดสอบปฏิบัติ การสัมภาษณ์จริง  ซึ่งคณะกรรมการสัมภาษณ์ที่เป็นผู้หญิงล้วนกลุ่มนี้เลือกตั้งเป้าหมายที่จะ เล่นบทบาทเป็น  Bad Guy   แต่ทีมงานก็ได้สับเปลี่ยนตัวผู้ถูกสัมภาษณ์ที่เป็นชายหนุ่ม หน้าตาดี เข้าไปเป็นผู้รับบทบาทผู้ถูกสัมภาษณ์  เมื่อทีมงานคณะกรรมการสัมภาษณ์ได้สัมผัสและเตรียมเล่นบทบาทตามที่ได้ เตรียมกันไว้  แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการแต่ละคนไม่สามารถเล่นบทที่ได้เตรียมกันไว้ ตามที่ได้นัดหมายกันไว้ได้เลย  หลังจากทำการสัมภาษณ์เสร็จสิ้นลง  ผมในฐานะวิทยากร  จึงได้ซักถามว่าทำไมไม่เล่นบทบาทตามที่ได้เตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรก  คณะกรรมการทุกคนให้เป็นข้อมูลเหตุผลเดียวกันว่า  ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี  เพราะว่าน้องที่เข้ามาเป็นผู้ถูกสัมภาษณ์ เป็นคนเรียบร้อย  และหน้าตาดี  จะใช้คำถามที่รุนแรงไป ก็จะไม่เข้ากับบรรยากาศในขณะนั้น  ทุกคนเลยสัมภาษณ์เป็นกลางๆ ไป  เลยทำให้ทีมงานการสัมภาษณ์ในครั้งนั้นดูเหมือนคนผิดหวังทั้งกลุ่ม

จึงพอสรุปได้ว่า การสัมภาษณ์ในบทบาทที่เป็น Bad Guy จะไม่สามารถกระทำได้ทุกคนที่เป็นผู้ถูกสัมภาษณ์  คณะกรรมการสัมภาษณ์ จะต้องมีความเชี่ยวชาญพอ และต้องมีประสบการณ์  ทักษะในการแสดงบทบาท ดังกล่าวมามากพอ ที่จะทำให้เป็นเสมือนจริงได้

สำหรับคณะกรรมการสัมภาษณ์ที่รับบทเป็นพระเอก ( Good Guy ) ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะจะทำตัวสอดแทรกเป็นช่วงๆ เพื่อลดความกดดันของผู้ถูกสัมภาษณ์ กรณีที่เห็นว่า สถานการณ์ไม่ค่อยดี เช่น นำเสียงเปลี่ยนไป ลังเลที่จะพูด พูดเร็วขึ้น มือเคลื่อนไหวมากขึ้น ขมวดคิ้ว สั่นศีรษะ ผู้ถูกสัมภาษณ์เงียบไปเฉยๆ จะคอยทำหน้าที่เป็นผู้เริ่มต้นการสัมภาษณ์ในหัวข้ออื่นหรือประเด็นอื่นต่อไป เป็นต้น

การสร้างบรรยากาศในการสัมภาษณ์ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ เกิดความเป็นกันเอง พร้อมที่จะตอบคำถามทุกคำถาม ด้วยความเป็นจริง  ทักษะด้านนี้ของคณะกรรมการสัมภาษณ์ ควรจะต้องมีไว้เช่นกัน เพื่อสร้างบรรยากาศของการสัมภาษณ์ให้เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลในทางที่เป็นบวกมากว่าเป็นในทางลบ  โดยเฉพาะกันคนรุ่นใหม่ที่เป็น Gen Y ย่อมต้องใช้ไม้นวม มากว่าไม้แข็ง  คำพูดในลักษณะที่เป็นการข่มขู่หรือใช้คำพูดที่รุนแรงเกินไป  บางครั้งอาจจะใช้ไม่ได้กับคนรุ่นใหม่  เพราะว่าคนที่เป็น Gen Y ถูกเลี้ยงดูมาแบบสมัยใหม่ ถูกตามใจตั้งแต่เด็ก ถ้าคณะกรรมการสัมภาษณ์จะใช้เทคนิคการสัมภาษณ์แบบ Bad Guy อาจจะใช้ไม่ได้ผล ด้วยเหตุผลดังกล่าว ประกอบกับในยุคปัจจุบัน ความต้องการคนจากภาครัฐและเอกชนค่อนข้างมีจำนวนมาก โอกาส เปลี่ยนถ่ายงานมีสูง  ซึ่งก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่คนรุ่นใหม่ จึงไม่ค่อยสนใจและใส่ใจองค์กรที่มีระเบียบ กฎเกณฑ์ในการรับสมัครและการสัมภาษณ์แบบเป็นทางการ  ยกตัวอย่างเมื่อสมัยก่อน เมื่อผู้ถูกสัมภาษณ์ เดินทางเข้ามาสมัครงาน เกิดลืมรูปถ่าย หรือลืมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนมาให้กับทางฝ่ายบุคคล บางครั้งต้องเดินทางกลับมาที่บ้านอีกครั้งเพื่อ นำหลักฐานไปให้กับบริษัทที่รับสมัครงาน แต่ในทางกลับกันของยุคปัจจุบัน  ถ้าองค์กรใดยังมีการปฏิบัติแบบเดิมอยู่ ก็จะไม่มีผู้สมัครคนใดเลยที่เดินทางมาสมัครงาน กับบริษัทดังกล่าว

2.5 เทคนิคการสังเกตพฤติกรรมบริการ   ในหัวข้อ core competency ด้านการบริการที่ดี คณะกรรมการอาจจะใช้วิธีการสังเกต บุคคลิกภาพ ตั้งแต่การเดิน การแต่งกาย  การยิ้มแย้มแจ่มใส และน้ำเสียงการพูดจา ภาษาท่าทาง จะเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการให้บริการที่ดีต่อลูกค้า  ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้คำถามที่มากมาย ก็สามารถทำนายผลได้บางส่วนแต่เมื่อถามคำถามจะทำให้ได้รับคำตอบได้ความมั่นใจขึ้น

สำหรับเทคนิคที่คณะกรรมการสัมภาษณ์ได้นำมาใช้  ในกรณีที่ผู้ถูกสัมภาษณ์อยู่ต่อหน้าหรือขณะทำการสัมภาษณ์  กรรมการจะทดสอบโดยการ ทำสิ่งของที่เป็นของส่วนตัวตกหล่นอยู่ข้างๆ ผู้เข้ารับการสัมภาษณ์  เพื่อทดสอบและสังเกตพฤติกรรมว่า มีจิตใจในการให้บริการ หรือมีความใส่ใจที่จะหยิบสิ่งของสิ่งนั้นมาให้กรรมการที่ทำสิ่งของตกหรือไม่  ก็เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่กรรมการเคยใช้ทดสอบกัน

2.5 การรักษาเวลา   คณะกรรมการสัมภาษณ์เมื่อเข้าสู่สมรภูมิการสัมภาษณ์แล้ว มักจะลืมเรื่องนี้

พอพบกับผู้ถูกสัมภาษณ์ที่ถูกใจแล้ว ลืมประเด็นเรื่องเวลา  ผู้ที่เป็นประธานการสัมภาษณ์ จะเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในหัวข้อนี้  เพื่อไม่ให้เกิดปํญหาต่อผู้สมัครคนอื่นๆ ตามมาด้วย

ผู้เขียนมองไปถึงเรื่อง การรักษาเวลานัดหมายกับผู้ถูกสัมภาษณ์ด้วย เพราะเป็นภาพลักษณ์ขององค์กร ถ้าคณะกรรมการสัมภาษณ์ปล่อยให้รอนานบ่อยๆ จะมีการบอกต่อกันไปว่า ผู้บริหารบริษัทไม่ตรงต่อเวลา จะส่งผลถึงองค์กรในภาพรวมอีกด้วย

การสัมภาษณ์ที่ดี ต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดแจ้งว่าต้องการผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมาเป็นย่างไร โดยผู้สัมภาษณ์ต้องใช้หลักSMART. ในการกำหนดวัตถุประสงค์ทุกครั้ง

S = Sensible and specific (เป็นไปได้และชัดเจน)

M = Measurable (วัดได้)

A = Attainable and Assignable (บรรลุได้และมอบหมายบ้าง)

R = Reasonable and Relevant (อธิบายได้และสอดคล้อง)

T = Timeframe (กำหนดเวลา)

การสัมภาษณ์ที่ไม่มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ยากที่จะกำหนดทิศทางและเป้าหมายตลอดจนขั้นตอนต่างๆที่สำคัญ มีผลทำให้การสัมภาษณ์อาจะมั่ว ไม่ได้สาระสำคัญหรือได้ข้อมูลไม่ชัดเจน ผิดเพี้ยน ไม่ลึกและไม่ได้ผลตามที่ต้องการ

2.6  การสรุปผลเมื่อสัมภาษณ์เสร็จ     เป็นประเด็นหนึ่งที่กรรมการสัมภาษณ์ มักจะมองข้ามด้วยเช่นกัน  เพราะคิดว่า ไม่ใช่สาระสำคัญ  จากประสบการณ์ของผู้เขียน  จะมีปัญหาอยู่บ่อยครั้งที่ คณะกรรมการสัมภาษณ์ที่มีการโต้เถียงกัน เพราะว่าคณะกรรมการสัมภาษณ์ปล่อยให้มีการสัมภาษณ์ไปจนจบทุกคนที่ เข้ารับการสัมภาษณ์ในวันดังกล่าว โดยที่ไม่เบรกเป็นช่วงๆ เพื่อทบทวนและสรุปผลในการสัมภาษณ์ที่ผ่านมา  สมมุติว่าในวันที่มีการนัดสัมภาษณ์ไว้ จำนวน  10  คน  แต่ทางบริษัทจะต้องคัดผู้ถูกสัมภาษณ์ให้เหลือเพียง 2 คนเท่านั้น  โดยที่ผู้ถูกสัมภาษณ์อันดับที่หนึ่ง  จะได้รับการพิจารณาเป็นอันดับแรก  ผู้ถูกสัมภาษณ์อันดับที่ สองจะได้รับการพิจารณา กรณีที่อันดับที่หนึ่งสละสิทธิ์หรือปฏิเสธ  โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นประธานการสัมภาษณ์ จะต้องเบรคการสัมภาษณ์เป็นช่วงๆ ละ  3  คน เพื่อให้คณะกรรมการได้ทบทวนสิ่งที่ได้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า คนใดบ้างที่เข้าหลักเกณฑ์และเป็นผู้ถูกคัดเลือก  จึงจะเหมาะสมกว่า  ถ้าปล่อยไปให้กระบวนการสัมภาษณ์เสร็จสิ้นลงเลย  จะทำให้ยุ่งยากในการสรุปผลการสัมภาษณ์ได้

2.7  การจดบันทึกระหว่างการสัมภาษณ์    คณะกรรมการสัมภาษณ์ทุกคนที่ มีการสอบถามผู้ถูกสัมภาษณ์ จะต้องทำหน้าที่จดบันทึกเหตุการณ์สำคัญไว้อ้างอิงและยืนยัน  ในช่วงสรุปผลการสัมภาษณ์ในช่วงสุดท้าย  เพราะว่า ถ้าปล่อยให้การสัมภาษณ์เนิ่นนานไปจนเสร็จสิ้นกระบวนการ โดยที่ไม่ได้จดบันทึกไว้เลย จะทำให้ทีมงานคณะกรรมการสัมภาษณ์ลืมว่า น้องได้ตอบอะไรออกมาบ้าง และควรจะบันทึกเรียงลำดับบุคคลที่ถูกสัมภาษณ์ให้ถูกต้อง จดบันทึกที่เป็นจุดเด่นของผู้ถูกสัมภาษณ์ไว้เป็น ข้อมูลอ้างอิง  เช่น  บ้านเกิดอยู่นครสวรรค์   จุดเด่นร้องเพลงเก่ง   เป็นนักฟุตบอลระดับถ้วย ก. เป็นต้น

3.เคล็ดลับในกระบวนการตรวจสอบประวัติ

การตรวจสอบประวัติ เป็นการทวนสอบความถูกต้องแลความเป็นจริงเกี่ยวกับผู้สมัครงาน โดยองค์ประกอบจะทำการตรวจสอบจากข้อมูลอ้างอิงที่มีการเขียนไว้ในขั้นตอนการรับสมัคร ตลอดจนทำการตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เช่น

1.สถาบันการศึกษาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

2.สถานที่ทำงาน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

3.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

4.กรมการปกครอง

5.หน่วยราชการอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่า ผู้สมัครงานมีคุณสมบัติถูกต้องตามที่องค์กรต้องการและไม่มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดปัญหาแก่องค์กรในอนาคต การให้ความสำคัญและความละเอียดรอบคอบกับขั้นตอนนี้จะขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน โดยงานที่ต้องการความรับผิดชอบและความซื่อสัตย์จะให้ความสำคัญกับขั้นตอนนี้เป็นอย่างมาก เช่น นักบัญชี/การเงิน ฝ่ายจัดซื้อ พนักงานธนาคาร หรือข้าราชการเป็นต้น

ตรวจสอบประวัติอะไรบ้าง

  1. ตรวจสอบประวัติครอบครัว  โดยดูตั้งแต่ พ่อ แม่ น้องและบุคคลใกล้ชิดว่า มีอาชีพอะไร ฐานะเป็นอย่างไร
  2. ตรวจสอบประวัติการศึกษา โดยดูว่าจบจากสถาบันไหน รู้จักอาจารย์ท่านไหนบ้าง เพื่อนสนิทเป็นใคร
  3. ตรวจสอบประวัติการทำงาน โดยดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงงานบ่อยมากน้อยแค่ไหน  หัวหน้าชื่ออะไร
  4. ตรวจสอบประวัติประวัติอาชญากรรม สามารถตรวจสอบได้จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ขั้นตอนการตรวจประวัติ  โดยส่วนใหญ่ก็คือ ฝ่ายบุคลากรมักจะตรวจสอบประวัติในกรณีที่พนักงานทำตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และจะกระทำเมื่อผ่านการสัมภาษณ์แล้ว  โดยจะทำการตรวจกับฝ่ายบุคลากรด้วยกัน  จากประสบการณ์ผู้เขียน ขั้นตอนการตรวจสอบประวัติ มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากฝ่ายบุคลากรสักเท่าไรหรือไม่กล้าให้ข้อมูลในทางลบของผู้สมัคร เนื่องจากต้องการรักษาสัมพันธภาพที่ดีงามระหว่างกัน  โดยส่วนใหญ่คำตอบที่ได้มักจะตอบในลักษณะกลางๆ ไม่ได้บอกความจริงกัน   ถึงแม้ว่าพนักงานดังกล่าวจะกระทำผิดมาก็ตาม เพราะโดยปกติเมื่อพนักงานออกจากองค์กรแล้ว ก็จะผลักภาระไปให้กับองค์กรอื่น ในการรับคนที่กระทำความผิด ซึ่งในทางปฏิบัติจริง ฝ่ายบุคลากรจะดำเนินการให้พนักงานที่กระทำความผิดที่ไม่หลักฐานแน่ชัด ให้พนักงานเขียนใบลาออก เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้า สุดท้ายคือป้องกันการฟ้องร้อง จากพนักงานผู้กระทำความผิด  ในบางองค์กรอาจจะรวมไปถึงการให้ข้อมูลข้อเท็จจริงแก่องค์กร กรณีโทรมาสอบถามข้อมูลในการทำงานแห่งใหม่ด้วย จึงไม่แปลกที่บางครั้งการว่าจ้างยังไม่ประสบความสำเร็จ แม้ว่าองค์กรได้ตรวจสอบประวัติของผู้สมัครมาแล้วก็ตาม   ฉะนั้นการตรวจสอบประวัติ  ควรจะมีช่องทางอื่นในการตรวจสอบประวัติอีกช่องทางหนึ่ง เพื่อจะได้ข้อมูลที่แท้จริงมากขึ้นเช่น  สอบถามอย่างไม่เป็นทางการสำหรับผู้ที่ใกล้ชิด ที่ทำงานด้วยกันในองค์กรนั้น  หรือผู้ที่มีหน้าที่ในการถามข้อมูล  ควรจะต้องปรับปรุงวิธีการหรือเพิ่มเทคนิคในการสอบถามข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่สอบถาม เพื่อให้แน่ใจว่าได้สอบถามแล้ว โดยไม่มุ่งหวังที่จะได้ข้อมูลข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแต่อย่างใด

4.เคล็ดลับในกระบวนการตรวจสุขภาพ

การตรวจสุขภาพเป็นอีกระบวนการหนึ่งที่สำคัญเพราะเป็นขั้นตอนรองสุดท้ายในกระบวนการคัดเลือกบุคลากร โดยการตรวจสุขภาพจะดำเนินการกับบุคคลที่ผ่านการทดสอบ การสัมภาษณ์ และการตรวจประวัติ แล้วเนื่องจากขั้นตอนนี้จะสิ้นเปลืองทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายจึงต้องนำมาไว้ในขั้นตอนรองสุดท้ายของการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานเพื่อตรวจสอบความเหมาะสมก่อนการตัดสินใจขั้นสุดท้าย   โดยส่วนใหญ่องค์กรจะทำการตรวจร่างกาย มีรายการตรวจอะไรบ้าง ซึ่งทางผู้เขียนขอนำตัวอย่าง การตรวจร่างกายพนักงานใหม่ ที่ตรวจกันทั่วไปมีอะไรบ้าง และแต่ละรายการนั้นจะส่งผลต่อองค์กรอย่างไร ในทางปฏิบัติทางฝ่ายบุคคลจะต้องทราบถึงรายละเอียดเรื่องนี้ และจะต้องเป็นหน่วยงานที่จะประสานกับทางแพทย์ประจำบริษัทหรือโรงพยาบาลที่บริษัทได้ทำสัญญากันไว้ว่า จะส่งพนักงานใหม่เข้ามารับการตรวจรักษา ก่อนจะเข้าปฏิบัติงาน ฉะนั้นผลการตรวจเลือดและการตรวจร่างกายพนักงาน จะต้องทำความเข้าใจไว้บ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการตอบคำถามผู้สมัครงาน ในกรณีที่เกิดปัญหาเรื่อง การตรวจสุขภาพร่ายกาย  ซึ่งในตัวอย่างที่ผู้เขียนจะขอยกเป็นอุทาหรณ์  ในการแจ้งผลการตรวจร่างกายพนักงาน สำหรับผลการตรวจในประเด็นต่างๆ มักจะตอบคำถามพนักงานด้วย ความจริงได้ เช่น โรคปอด ไวรัสบี  วัณโรค และ หัวใจ  แต่ในบางโรค เช่น HIV   เราไม่สามารถบอกถึงรายละเอียดและความจริงของการเป็นโรคนี้ได้ และก่อนได้รับการตรวจต้องได้รับความยินยอมจากพนักงานก่อนด้วยเช่นกัน  เพราะว่ามีกฎหมายควบคุมอยู่  ซึ่งทางฝ่ายบุคคล จะต้องมีเทคนิคในการแจ้งผู้ที่ได้รับการตรวจร่างกายอย่างไร

ส่วนใหญ่จะเป็นประเด็นปัญหา เรื่องการฟ้องร้อง ด้วยการแจ้งผลการตรวจร่างกายนี้ได้ ซึ่งผู้เขียนจะขอยกเป็นตัวอย่างประกอบเพื่อเป็นแนวทาง ในการตอบคำถามและปฏิเสธต่อผู้สมัครอย่างนิ่มนวลอย่างไร  กรณีที่ผู้สมัครมาเข้ารับการตรวจร่างกายก่อนเข้าทำงาน โดยมีแพทย์สถานพยาบาลได้แจ้งผลผ่านมายังฝ่ายบุคคล ว่ามีผลการตรวจเลือด HIV ไม่ผ่าน  หน้าที่ของฝ่ายบุคคลจะต้องทำการแจ้งพนักงานที่ได้รับการตรวจร่างกาย  ถ้ากรณีนี้ แจ้งโดยตรงเลยว่า พนักงานเป็น HIV จะไม่สามารถกระทำได้ ยกเว้นแพทย์ที่ทำการรักษาเท่านั้น ซึ่งเป็นประเด็นข้อกฎหมาย

ทางออกของเจ้าหน้าสรรหาและคัดเลือกจะต้องศึกษาข้อมูลในเรื่องนี้ อย่างท่องแท้ โดยใช้เทคนิคและประสบการณ์ เหตุผลว่า  ในช่วงนี้มีเหตุเรื่อง “การชะลอการรับตำแหน่งนี้ไปก่อน จนกว่าทางผู้บริหารจะอนุมัติอย่างเป็นทางการ  ส่วนทางฝ่ายบุคคลก็จะต้องผ่านไปยังกระบวนการทางการแพทย์ที่จะต้อง เรียกพนักงานที่ตรวจพบ HIV มาทำการรักษาในขั้นตอนต่อไป

SEROLOGY
VDRL___________________________
ANTI HIV_______________________
METHAPHETAMINE TEST_______________________
BLOOD CHEMISTRY
DETERMINATION FOUND NORMAL VALUE
  BLOOD SUGAR < 110 MG%
  BUN <  20 MG%
  CHOLESTEROL < 250 MG%
  SGOT <  40 IU
  BILIRUBIN 1′ < 0.5 MG%
                    30′ < 1.5 MG%
  URIC ACID <   8 MG%
COLOR BLINDNESS
_____________________________________________________________________________________

    วัตถุประสงค์ในการตรวจสุขภาพ

เพื่อคัดบุคคลที่ไม่เหมาะสมออก

เพื่อการวางแผนอัตรากำลังคน

เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการรักษา

เพื่อการป้องกันโรคติดต่อ

5.เคล็ดลับในกระบวนการตัดสินใจคัดเลือก

การตัดสินใจคัดเลือก ถือว่าเป็นขั้นตอนสุดท้าย ของการคัดเลือกบุคลากร จะดำเนินการโดยบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบหรือได้รับมอบหมายจาก ผู้บริหารระดับสูงเพื่อตัดสินใจว่าจะรับบุคคลที่ผ่านกระบวนการทั้งหมดเข้าร่วมงานกับองค์กรหรือไม่ โดยการพิจารณาข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการคัดเลือกบุคลากร

          ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการคัดเลือก

1.วุฒิการศึกษาที่ตรงตามตำแหน่งงาน

2.การฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน

3.สติปัญญา ไหวพริบ ในการถามตอบ

4.บุคลิกภาพที่แสดงออกต่อหน้าชุมชน

5.ประสบการณ์ ในการทำงานที่เกี่ยวข้อง

6.ความถนัดหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

7.ความสามารถพิเศษที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน

8.ทักษะทางกายภาพ สุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์ คุณสมบัติอื่นๆ

ตามตำแหน่งงานที่รับสมัคร

การตัดสินใจคัดเลือกพนักงาน ผู้เขียนได้ออกแบบตารางเกณฑ์คัดเลือกและการให้คะแนนไว้ เพื่อง่ายต่อการคัดเลือก  โดยให้ไปศึกษาข้อมูลในแนวทางการคัดเลือกพนักงานเพิ่มเติมได้

ตัดสินใจคัดคนที่ไม่เหมาะสมออกอย่างไร

  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ เดินก้มหน้า คอตก ไม่สง่างาม
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ เอามือล้วงกระเป๋า ตลอดเวลา
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ เดินอย่างขาดความสำรวม
  • นุ่งกางเกงยีนส์หรือกางเกงที่ไม่เหมาะสมไปสัมภาษณ์งาน
  • สวมเสื้อที่มีรวดลาย หรือสีสันฉูดฉาดมากจนเกินไป
  • คาดเข็มขัดหัวเข็มขัดที่เป็นรูปสัตว์หรือรูปแปลกๆ
  • สวมรองเท้าแตะหรือรองเท้าที่ไม่ใช่แบบของคนทำงาน
  • สวมเครื่องประดับมากเกินไป เช่นใส่สร้อยหลายเส้นหรือใส่แหวนหลายวง
  • ไม่หวีผมให้เรียบร้อยหรือปล่อยผมให้กระเซิง รกรุงรัง
  • สวมกางเกงขาบานหรือกระโปรงทรงที่ไม่สุภาพ
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ ไม่ดูแลหน้าตาให้สะอาด แจ่มใส
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ ปล่อยให้เล็บยาว ดำ สกปรก
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ นั่งถ้าสบายเหมือนคุยกับเพื่อนเวลาสัมภาษณ์
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ กระดิกเท้าหรือเขย่าตัวไปมา
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ ใช้เท้าเคาะพื้น  หรือเก้าอี้
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ นั่งเอนตัวหรือเอียง เหมือนจะนอน
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ เอามือหรือแขนพลาดไปบนโต๊ะ
  • สวมแว่นตากันแดด หรือแว่นสีเข้มเพื่อปิดบังสายตา
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ นั่งหมุนเก้าอี้ไปมา ถ้าเก้าอี้หมุนได้
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ แต่งหน้าเข้มมากจนเกินไป
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ ขาดความมั่นใจในตัวเอง
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ พูดจาวกวนไปมาอยู่เหมือนเดิม
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ แสดงอาการไม่พอใจกับบางคำถาม
  • มีบุคลิกภาพที่มีลักษณะ มองลงกับพื้นหรือเพดานในการตอบคำถาม
  • มีพฤติกรรมในลักษณะ คุยโม้โอ้อวดหรือถ่อมตัวจนเกินไป
  • มีการตอบคำถามแบบมั่วๆในสิ่งที่ไม่มั่นใจ หรือไม่รู้
  • ไม่รู้เกี่ยวกับองค์กรและลักษณะตำแหน่งงานที่ไปสมัคร
  • ไม่ขอบคุณหรือยกมือไหว้ผู้สัมภาษณ์เมื่อการสัมภาษณ์เสร็จสิ้น

พฤติกรรมที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นตัวอย่างของผู้เข้ารับการสัมภาษณ์ ซึ่งในแต่ละองค์กรก็ต้องไปพิจารณาว่าพฤติกรรมดังกล่าวมานั้น เป็นผลเสียต่อองค์กรมากน้อยเพียงใด โดยอาจจะนำไปพิจารณาร่วมกับหัวข้อ ความสามารถหลักขององค์กรว่ามีความสอดคล้องกันอย่างไร  การตัดสินใจคัดเลือก ถือว่าการคัดเลือกขั้นสุดท้ายโดยธรรมเนียมปฏิบัติที่ถูกต้องมักจะให้อำนาจในการตัดสินใจแก่หัวหน้างานโดยตรง (ไม่ใช่ผู้บริหาร) เนื่องจากหัวหน้างานจะเป็นบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ความรับผิดชอบ ต่อผลการดำเนินงานของหน่วยงานและทีมงาน เพราะฉะนั้นหัวหน้างานจะรู้ดีที่สุดว่าคนที่จะรับเข้ามา ทำงานให้กับองค์กรได้จริงและสามารถเป็นส่วนหนึ่งของทีมได้อย่างไม่มีปัญหาติดตามมาภายหลัง หากไม่ระวังเรื่องนี้ให้ดี จะส่งผลเสียหายต่อองค์กรอีกแล้วครับท่าน! (ผู้บริหาร)

 

ดร.กฤติน กุลเพ็ง